Korea Fashion

Japan Fashion

Fashion

แฟชั่น เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า fashion ราชบัณฑิตยสถานได้ ให้ความหมายของคำนี้ว่า "สมัยนิยมหรือวิธีการที่นิยมกันทั่วไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง" เป็นการยอมรับจนเกิดเป็นค่านิยม มีกระบวนการเกิดภาษาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากคำว่า “วิวัฒนาการ” ที่ทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วินระบุ ไว้ว่าวิวัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้เวลายาวนานและสามารถถ่ายทอดสิ่งนั้นไปสู่ลูกหลาน ได้ โดยมากแล้วคำว่าแฟชั่น มักมีความหมายเกี่ยวกับการแต่งตัว

Fashion2

บางสไตล์ที่เคยล้าสมัยไปแล้วอาจเวียนกลับมาเทรนด์อีกครั้ง
  1. Western / Cowboy or Cowgirl คาวบอย / ตะวันตก
  2. Punk พั้งค์
  3. Preppie เพรปปี้
  4. Futuristic อวกาศ / อนาคต
  5. Hippie ฮิปปี้
  6. Mod ม็อด
  7. Flapper แฟลปเปอร์
  8. Disco ดิสโก้
  9. New Wave นิวเวฟ
  10. Goth / Gothic โกธิค
  11. Equestrian / Fox Hunting / Jockey จ็อคกี้ / พวกนิยมขี่ม้า
  12. Biker นักซิ่ง / เด็กแว๊น (ของฝรั่ง)
  13. Boho-Chic / Boho-Hippie โบโฮ
  14. โลลิตา สาวน้อยใสๆ สไตล์ญี่ปุ่น
  15. Eveningwear / Black Tie ชุดราตรี
  16. Speed metal สปีดเมทัล
  17. Hip Hop ฮิปฮอป
  18. fashion chestgiant volcanic แฟชั่นหน้าอกยักษ์ภูเขาไฟ

อุตสาหกรรมแฟชั่น

อุตสาหกรรมแฟชั่นนั้นเป็นสิ่งที่เริ่มขึ้นในแฟชั่นเสื้อผ้ายุคใหม่ โดยช่วงก่อนปี พ.ศ. 2500 การตัดเย็บเสื้อผ้าแฟชั่นส่วนใหญ่ยังเป็นการสั่งตัดโดยแต่ละบุคคล ตัดเย็บโดยช่างตัดเสื้อ แต่หลังจากนั้นเมื่อเริ่มมีเครื่องจักรเข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดเย็บ หรือ จักรเย็บผ้า และมีโลกเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีห้างสรรพสินค้า มีการ ผลิตเสื้อผ้าออกมาในรูปแบบจำนวนมาก ขนาดเดียวกัน ราคาเดียวกัน ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นเริ่มต้นอย่างแท้จริง อีกทั้งอุตสาหกรรมแฟชั่นยังได้รับอิทธิพลจาก การสื่อสารที่มีการพัฒนาขึ้นพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อวิทยุ โทรทัศน์ จนถึงยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของอินเตอร์เน็ต อย่างไรก็ตามในยุคเริ่มแรกของ อุตสาหกรรมแฟชั่นนั้นเริ่มที่ฝั่งยุโรป ต่อมาที่ฝั่งอเมริกา จนมาถึงยุคปัจจุบันอุตสาหกรรมแฟชั่นนั้นเป็นออกแบบในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่การผลิตและจำหน่าย นั้นทำในอีกประเทศหนึ่ง เช่น แฟชั่นที่ผลิตโดยบริษัทแฟชั่นในสหรัฐอเมริกาออกแบบในประเทศ แต่ผลิตในจีนหรือเวียดนามหรือ ศรีลังกาแล้วนำกลับมาในประเทศและกระจายขายสินค้าทั่วโลกอีกครั้ง

แฟชั่นฤดูหนาว

Winter Fashion

ชุดราตรี

6 โศกนาฏกรรมของแฟชั่นยุคโบราณ

มี 6 อันดับมาฝาก เป็นแฟชั่นสมัยก่อน หรู อลังการมาก จนไม่น่าเชื่อว่ามันมีเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับตัวมันด้วย+ +

อันดับ 6 คริโนไลน์(crinoline)

คริโนไลน์(crinoline) เป็นกระโปรงที่สวมแบบสุ่ม (เพื่อให้กระโปรงบานออก) เป็นชุดที่มีกระโปรงบานๆ บานมากบานจนเหมือนสุ่มไก่บ้านเราโดยเขาจะทำเป็นโครงให้มันบานใหญ่ โดยโครงทำมาจากมันทำจากขนม้า, เส้นป่าน หรือเหล็ก ซึ่งมันได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงในศตวรรษที่ 19

ทำไมมันถึงน่ากลัว? การออกแบบคริโนไลน์ของมันตอบสนองได้ดีทีเดียวเลยแหละเมื่อมีลมแรงๆ มาพัดอย่างกะทันหัน กระโปรงบานๆ ของเจ้าหล่อนจะถูกพัดเหมือนกับร่ม(กาง)ที่ปลิวของลมนั้นแหละ มีหลายรายถูกลมพัดดันให้ตกจากที่สูง(ที่ออกงานของพวกเธออยู่ที่สูงๆ ทั้งสิ้นนี้) และบางรายเพราะหายใจไม่ออกเพราะลมพัดแรงจนโครงเหล็กรัดตัวเธอจนกระดูกหัก บางรายกระโปรงเกิดไปเกี่ยวกับรถม้าและลากผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดตาม ท้องถนน แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือกระโปรงนี้ติดไฟง่ายสุดๆ และเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ตายเพราะกระโปรงตัวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1863 ในSantiago ประเทศซิลี ในอเมริกาใต้ มีคนตายกว่า 2000 - 3000 คน ในขณะไฟไหม้โบสถ์ เมื่อไฟผ้าคลุมหน้าต่างโบสถ์เกิดติดไฟ ผู้คนต่างพยายามหนีตายหาทางออกจากประตู แต่เจ้ากรรม ด้วยความกว้างของกระโปรงบานของเจ้าหล่อนดันไปขว้างติดประตูซะนี้(กระโปรงดันใหญ่กว่าประตู)) แถมเอาออกยากซะด้วยสิเพราะมันทำจากโครงเหล็กนี้น่า ซึ่งมันทำให้ทางออกถูกปิดโดยสิ้นเชิง ที่นี้ก็ลองคิดละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...ก็ตายยกหมู่สิ

อันดับ 5 เดอะ คอร์ซิท (The Corset)


เดอะ คอร์ซิท
(The Corset) เป็นเสื้อรัดลำตัวสตรี,เสื้อยกทรงรัดรูปของสตรี และชุดชั้นในผู้หญิงที่สวมเพื่อให้สะโพกและหน้าอกเข้ารูปทรง นิยมในช่วงทศวรรษที่ 1830-1839 สมัย วิกตอเรียนที่ตั้งกฎเกณฑ์ศิลธรรมให้ผู้หญิงต้องใส่ ไม่ใส่ถือว่าผู้หญิงคนนั้นสกปรก ต่ำต้อย ไม่มีมารยาทและไม่มีศิลธรรม และสมัยศตวรรษที่ 19นิยมให้สตรีมีเอวคอดกิ่ว อกตั้ง ทำให้เสื้อนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว

ทำไมมันถึงน่ากลัว? เนื่องจากการใส่คอร์ซิทต้องรัดแน่นมากๆ แน่นจนทำให้กระดูกผิดรูป หรือ เราเรียกว่าเอวคอด ซี่โครงจะเจ็บปวดชา อวัยวะเครื่องในจะถูกเคลื่อนย้ายลงต่ำมาถึงก้น ทั้งเป็นสาเหตุให้การไหลของเลือดภายในผิดปกติ ใน1903 มี ผู้หญิงที่ตายทันทีเพราะเสื้อรัดลำตัวสตรีที่เป็นเหล็กกระแทกหัวใจของเธอ แต่กระนั้นแฟชั่นนี้ก็ถูกดัดแปลงให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันมาเป็นชุดชั้นใน สุดเซ็กซี่ออกศึกที่นิยมของสาวๆ ทั้งหลาย

อันดับ 4 ฟุตบาดดิ้ง (Footbinding)

ฟุตบาดดิ้ง (Footbinding) เป็นการพันเท้าผู้หญิงให้เป็นรูปดอกบัว เป็นประเพณีปฏิบัติของผู้หญิงจีนโบราณ ซึ่ง เป็นที่นิยมในจีนสมัยศตวรรษที่ 8 โดยมันเริ่มมาจากสมัยก่อนจักรพรรดิ์มีเมียหลายคน แต่ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่กับเมียน้อยเหล่านี้มากนัก ทำให้หลายนางแอบไปมีชู้ จักรพรรดิจึงใช้วิธีป้องกันโดยการรัดเท้าเพื่อให้พวกเธอเดินเหินไม่สะดวก ซึ่งต่อมากลายเป็นค่านิยมที่ผู้หญิงในวังต้องวัดเท้า ชาวบ้านก็นึกว่าเป็นแฟชั่นของไฮโซเลยทำตามบ้าง จึงกลายเป็นค่านิยมของจีนในที่สุด โดยเกิดวลีว่า “ผู้หญิงที่เท้าเล็ก ยิ่งเซ็กซี่”


ทำไมมันถึงน่ากลัว
? กระบวนการพันเท้านั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 5-6 ขวบ โดยคนเป็นแม่จะใช้วิธี หักนิ้วน้อย ๆ สี่นิ้ว แล้วงอย้อนกลับไปทางด้านหลัง แล้วก็เอาผ้ามาพันเอาไว้ โดยจะพันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนได้เท้าที่เล็กตามต้องการ(บาง ตำราก็เขียนว่าให้เอาเท้าแช่ปัสสาวะและกระเพาะแพะ) นอกจากนี้ผู้ที่ทำการพันเท้า กล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณสะโพกลงไปจะต้องเกร็งมากในการเดินแต่ละครั้ง เมื่อเยื้องย่างด้วยท่าอ้อนแอ้นแลดูสวยงาม จะเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวเข็มพันเล่มกระหน่ำแทงพวกเธอราวกับขุนนรกโลกันต์ เท้าที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา กลิ่นจะเหม็นมากๆ จนเป็นแผลเน่า และเลวร้ายที่สุดคือเธอไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกเกิดมีไฟไหม้บ้าน โจรมาข่มขืนละก็คงแล้วแต่ดวงแหละเพราะหนีไม่ได้...เหอๆ

อันดับ 3 ฟองตางเก (The Fontange)


ผมทรงฟองตางเก(
The Fontange) เป็นการทำเกล้าให้ผมสูงไว้กลางศีรษะ มัดโบเล็กๆ หลายอันด้านหน้า จากนั้นประกบด้วยลูกไม้จีบและมัดมวยผมเป็นแผง 3 - 4 ชั้น วนไล่ขึ้นไปเป็นยอด ด้านหลังกับด้านข้างทิ้งปอยหยิกห้อยและผูกโบว์ยาวซึ่งยิ่งผมสูงยิ่งดีแสดงถึงฐานะ โดยแฟชั่นนี้นิยมในฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 -18

ทำไมมันถึงน่ากลัว? ทรงผมนี้มันติดไฟง่ายครับ ยิ่ง งานราตรีที่มีโคมไฟระยิบระย้ายิ่งติดไฟง่ายไปใหญ่แถมเวลาไฟติดบนหัวของเจ้า หล่อนละก็ตัดยากสุดๆ เพราะหัวเธอเต็มไปด้วยวัสดุติดไฟง่ายทั้งนั้น และจากผมก็จะลามมาถึงคอและหน้าและมือ จากสาวสวยกลายเป็นสุเทพ สีใสทันที ซึ่งกรณีนี้เคยเกิดขึ้นกับ Angelique de Fontanges ชู้รักคนโปรดของกษัตริย์อังกฤษคนหนึ่งที่ตายเพราะทรงผมของเธอตัดไปโดนเทียนทำให้หัวของเธอติดไฟ

อันดับ 2 ลีด เมคอัพ(Lead Makeup)

เป็นการทำให้หน้าขาวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของตะกั่ว ว่ากันว่าต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีกในยุคโบราณกว่า2,000 ปีมาแล้ว และนิยมในฝรั่งเศสศตวรรษที่ 14 -19 ซึ่งสังคมนั้นมันชั้นสูงมากๆ แบบใครผิวดำถือว่าเป็นคนไม่มีเงิน(เพราะคนผิวดำมักทำงานหนัก คนผิวขาวไฮโซไม่ต้องทำงาน) ซึ่งคนดังที่ใช้แป้งข่าวทานั้นก็มีสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ

ทำไมมันถึงน่ากลัว? แน่นอนเพราะมันมีส่วนประกอบของตะกั่ว ซึ่งทางอนามัยโลก จัด เป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอยู่แล้ว โดยลีด เมคอัพเครื่องสำอางโบราณนั้นมี ส่วนประกอบคือตะกั่วขาวผสมกับขี้ผึ้ง ไขมันสัตว์ น้ำมันและไข่ขาว ซึ่งสารตะกั่วนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน มึนงง แขนขาชา ตาบอด และหายใจไม่ออก บางครั้งอาจเสียชีวิตได้ หรือถ้าร่างกายสะสมตะกั่วมากๆ อาจเป็นมะเร็งได้

โดยในปี 1760 Marie Gunning สตรีชั้นสูงชาวไอริชที่มีชื่อเสียงในด้านหน้าขาวของเธอกลายเป็นเหยื่อรายแรกของการใช้สารตะกั่วพิษ และในปี 1878 คุณนาย Madame Rachel,ก็ตายเพราะพิษของตะกั่วที่ทาบนหน้าเช่นกัน

อันดับ 1เดอะ สตีฟ ไฮ คอลล่า (The Stiff High Collar)

เป็นคอเสื้อแข็งๆ ใส่เพื่อให้ปกเสื้อสูงขึ้น นิยมใช้กับผู้ชายในศตรรษที่ 19 โดยคอเสื้อจะเป็นสีขาว เวลาใส่ก็เอาชุดเชิ๊ตมาใส่ทับอีกที ทำให้เหมือนเป็นคนขี้โอ่ มีอำนาจ โดยบุคคลสำคัญที่ใส่ก็มี ออสกา ไวลด์Oscar Wildeนักประพันธ์ชาวไอซ์แลนด์

ทำไมมันถึงน่ากลัว? ที่เยอรมัน, เดนมาร์ก และดัชท์ เรียกเจ้าปลอกคอนี้ว่า"พ่อมือสังหาร father killer " ซึ่ง ดูรูปร่างคงจะทราบแล้วมั้งว่ามันน่ากลัวยังไง คือมันทำให้ทำให้คนสวมหายใจลำบากและอึดอัดที่ลำคอเพราะมันค่อนข้างบีบรัดคอ พอสมควร ซึ่งคนสวมมักเสียชีวิตในขณะใส่ชุดนี้ตอนเวลานอนและพอมันรัดคอคนสวมมักตาย เพราะขาดอาการหายใจอย่างไม่รู้ตัว และทำให้เกิดฝีในสมอง เวลากินข้าวก็ผ่านลำคอยากแต่ที่ร้ายสุดๆ คือมันเหมือนกิโยตินแบบพกติดตัวคือในปี 1800 ชายคนหนึ่งหัวขาดเพราะคอเสื้อไปเกี่ยวกับรถขณะวิ่งมาแล้ว

9 เรื่องน่ารู้ของแฟชั่น

ควีนอลิซาเบธที่ 1 เป็นผู้นำแฟชั่น

ไม่ น่าเชื่อว่า 400 กว่าปีก่อน ก็มีแฟชั่นไอดอลเหมือนปัจจุบัน เพราะตั้งแต่ปี 1571 พระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ได้ออกกฎหมายบังคับให้สาวชาวอังกฤษที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไป ต้องสวมหมวกทุกวันอาทิตย์ หลังจากนั้นเมื่อกฎหมายบังคับเรื่องนี้ได้ตกไป สาวๆ เมืองผู้ดีก็ยังคงรักษาธรรมเนียมการสวมหมวกในบางโอกา ส อาทิ งานแข่งโปโล, ปาร์ตี้ในสวน หรืองานแต่งงาน ดั่งที่เรามักเห็น เคท มิดเดลตัน มักจะสวมหมวกเสมอ เวลาควงปรินซ์ วิลเลียม ไปร่วมงานแข่งโปโล หรือปาร์ตี้ในสวน

นิวยอร์ก ต้นกำเนิดของ “จีสตริง”


แม้ ผ้าเตี่ยวจะมีจุดกำเนิดในยุคกลางจนถึงยุคเก่าแก่ข องอียิปต์ แต่ไม่น่าเชื่อว่า “จีสตริง” ผ้าเตี่ยวของหญิงสาวสไตล์โมเดิร์นจะกำเนิดในเมืองใหม่ อย่าง มหานครนิวยอร์กนี่เอง โดยเมื่อปี 1939 ซึ่งเป็นยุคที่เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มฟื้นตัว Fiorello LaGuardia นายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก ได้จัดงานเวิลด์แฟร์ และระหว่างนั้นได้มีการแสดงระบำเปลื้องผ้า จนเหลือจีสตริงตัวเดียว แม้ท่านนายกเทศมนตรีจะรีบสั่งการให้ปิดการแสดง แต่อนิจจา มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของโมเดิร์น จีสตริงตัวจิ๋ว ที่สาวอเมริกันนิยมชมชอบซะแล้ว แต่ผู้ที่ทำให้ จีสตริงเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก คงหนีไม่พ้น โมนิก้า ลูวินสกี้ สาวฝึกงานในทำเนียบข่าว ที่ออกมาเผยว่า ยอมอวดบั้นท้ายอันโอ่งโถงที่มี จีสตริงพาดร่องก้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากประธานาธิบดีบิล คลินตัน นั่นเอง !!!



นักสะสมรองเท้าคนไหนหรือจะสู้ อีเมลด้า มาร์กอส ได้

ใน ขณะที่ชาวฟิลิปปินส์เผชิญอยู่กับความลำบากยากแค้น แต่เฟิร์สเลดี้ของพวกเขากลับชอบแฟชั่นและสะสมงานศิลปะไว้มากโข หนึ่งในสิ่งที่ อีเมลด้า มาร์กอสโปรดปรานคือ รองเท้า โดยเฉพาะ เมื่อวันที่เธอและสามีต้องระเห็จออกจากคฤหาสน์ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว อีเมลด้า ต้องโบกมือลารองเท้าที่ตัวเองสะสมมากว่า 2,700 คู่ ซึ่งมีทั้งรองเท้าส้นสูง รองเท้ารัดส้น และรองเท้าผ้าใบ ซึ่งนับว่าโชคดีที่ยุคนั้นรองเท้าไร้ส้น รองเท้าบู๊ต และรองเท้า 8 นิ้ว ไม่ได้ฮิตในตอนนั้น


ชุดประดับเพชรไรน์โตน ของ มาริลีน มอนโรว์


ชุด ประกายวิบวับประดับไรน์สโตนกว่า 6,000 เม็ด ของ มาริลีน มอนโรว์ ชุดนี้ สวมเนื่องในงานฉลองวันเกิด จอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่ เมดิสัน สแควร์ ในปี 1962 และในปี 1999 ชุดหรูตัวนี้ถูกประมูลไปในราคา 1.29 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นสินค้าที่ประมูลได้ในราคาสูงที่สุดของ คริสตี้ อ็อกชั่น ที่ยังไม่มีสินค้าตัวไหนทำลายสถิติได้จวบจนปัจจุบันนี้


พระนางมาเรีย อังตัวเนตต์ ไม่เคยโป๊เวลาอาบน้ำ

แม้ ภาพยนตร์เรื่อง มาเรีย อังตัวเนตต์ ที่รับบทนำโดย คริสเทน ดันสท์ จะโชว์ความขาวผ่องใสของผิวราชนิกูล แต่ความจริงแล้ว พระราชินีผู้เลอโฉมของฝรั่งเศสพระองค์นี้ มีความเป็นส่วนตัวสูง แม้กระทั่งเวลาอาบน้ำ พระนางยังสวมเสื้อผ้าสักหลาดอ่อนปิดถึงพระศอ ก็ลองคิดว่า ถ้ามีผู้ช่วยอาบน้ำห้อมล้อมอ่างอาบน้ำ คุณยังอยากเปลือยเนื้อหนังอยู่ไหมเนี่ย !!


ชุดเจ้าสาวที่ยาวที่สุดในโลก

คู่ รักแดนมังกรทุบสถิติใหม่ในกินเนสต์บุ๊ก ด้วยชุดเจ้าสาวที่ยาวที่สุดในโลก ชุดนี้ทำด้วยผ้าไหมทั้งชุด มีความยาวถึง 2,162 เมตร ประดับด้วยกลีบกุหลาบกว่า 9,999 กลีบ โดยในงานใช้แขกกว่า 200 คน ช่วยคลี่ชุดแต่งงาน ซึ่งใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง กว่าจะคลี่ออกได้หมด และช่วยกันยกชุดแต่งงานชุดนี้ ส่วนมูลค่าไม่ต้องพูดถึงเพราะสูงถึง 40,000 หยวน หรือเกือบ 200,000 บาท แบบนี้เรียกว่าทุ่มกับงานแต่งของจริง !!

แฟชั่นวีกมาราธอน

งาน นี้ต้องยกให้ นิวยอร์ก แฟชั่น วีก ประจำฤดูสปริง/ซัมเมอร์ ที่กำลังคึกคักอยู่ในขณะนี้ เป็นแคตวอล์กมาราธอนสำหรับนางแบบจริงๆ เพราะตลอดสัปดาห์แฟชั่น มีแบรนด์ดังจัดแสดงกว่า 75 โชว์ เริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงสามทุ่ม ซึ่งตามตารางจัดแสดงบางชั่วโมงก็มีโชว์พร้อมกันถึง 2 โชว์ หากคำนวณว่าแฟชั่นโชว์แต่ละแบรนด์จัดเฉลี่ย 15 นาทีต่อโชว์ นั่นหมายความว่า ตลอดทั้งงาน นางแบบต้องเดินนานถึง 19 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

แคตวอล์กเมืองไทย...เซเลบริตี้เดินแบบบ่อยที่สุดในโลก

วก กลับมาสู่วงการแฟชั่นเมืองไทยหน่อย ตลอด 2 ปี มานี้ นางแบบอาชีพงานหด เรียกง่ายๆ ว่าเกือบตกงาน เพราะไม่ว่าเวทีไหน จะมีแต่นางแบบกิตติมศักดิ์ หรือดาราดัง ที่ถูกจ้างมาเพื่อเรียกสื่อและแฟนคลับให้มาร่วมงานมา กๆ เข้าไว้ กระแสการนำไฮโซหรือดาราดัง เริ่มขึ้นเมื่อ 5-6 ปี ที่แล้ว โดยเวทีแฟชั่นวีกอันดับหนึ่งของไทย ได้เชิญให้ดารากิตติมศักดิ์มาเดินฟีนาเล่ จนได้รับเสียงปรบมือและความชอบใจของผู้ร่วมงานอย่างก ึกก้อง จากนั้นไม่ว่าเวทีไหน ก็จะดึงดูดทั้งนักข่าวและผู้เข้าร่วมงานด้วยการเดินแบบของไฮโซสาว ดารา หรือแม้แต่ผู้ประกาศข่าว แบบนี้คงต้องยกให้แคตวอล์กเมืองไทย เป็นแคตวอล์กที่เซเลบริตี้เดินแบบบ่อยที่สุดในโลก
เครดิต clipmass
No posts.
No posts.